เอาอีกแล้ว! ผู้ใช้งานพบ Facebook แอบเก็บข้อมูลของ SMS และการโทร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Facebook กำลังตกเป็นเป้าของข่าวฉาวของ Cambridge Analytica จนเกิดแคมเปญการลบ Facebook ผู้ใช้งานจำนวนมากจึงนิยมทำการสำรองข้อมูลออกมาเก็บไว้ก่อนร่วมลบ Facebook แต่กลับพบความจริงที่ว่าภายใน Log มีข้อมูล Metadata ของ SMS และการโทรศัพท์ (ส่งไปหาใคร ระยะเวลาคุยนานแค่ไหน ไม่ได้เก็บ Text หรือข้อมูลเสียงเนื้อหาที่คุย)
ความจริงก็คือ Facebook ได้เก็บ Log การสนทนา เช่น เวลาที่เริ่มสนทนา ระยะเวลาที่ใช้ในการสนทนา และรายชื่อติดต่อ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เก็บ Log เบอร์ที่ไม่ในบันทึกในโทรศัพท์ โดยจากที่ผู้เชี่ยวชาญสำรวจดู Facebook ไม่ได้มีการเก็บ Metadata โดยดั้งเดิมและไม่ใช่กับทุกคน หากแต่เฉพาะผู้ใช้ที่อนุญาตให้แอปพลิเคชันเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อเพื่อค้นหาเพื่อนบน Facebook ได้เท่านั้น ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบตัวเองได้ด้วยการดาวน์โหลดสำเนา Log ได้ตามภาพด้านบนและเข้าไปสำรวจดูภายใน ซึ่งมีผู้ใช้งานจาก Twitter คนหนึ่งได้แจก Ruby Script เพื่อช่วยค้นหาว่ามี Log ของ Metadata หรือไม่ภายในไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา
แม้ว่ายังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่า Facebook จะเก็บ Log เหล่านี้เพื่อจุดประสงค์อะไร แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะใช้ข้อมูลเพื่อค้นหาว่าผู้ใช้นิยมเก็บอะไรไว้ในรายชื่อบ้างจะได้จัดลำดับการอัปเดตจากผู้ใช้งานคนนั้น ซึ่งตอนนี้หลังจากถูกสอบถามจากสำนักข่าวและผู้สนใจ Facebook ได้ให้คำตอบแต่ในเรื่องของการเก็บข้อมูลรายชื่อหนังสือที่อยู่ในโทรศัพทื แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าทำไมถึงต้องเก็บ Metadata เพียงแต่ Facebook อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
  • พฤติกรรมนี้เกิดในแอปพลิเคชัน Facebook บน Android เท่านั้น
  • Facebook จะร้องขอสิทธิ์การเข้าถึงก่อนเสมอถึงแม้ผู้ใช้ไม่รู้ผลกระทบที่ตามมาว่าจะถูกเก็บ Metadata
  • การอัปโหลดรายชื่อผู้ติดต่อเป็นเพียงตัวเลือกเท่านั้นสามารถไม่ให้ก็ได้และ Facebook ไม่เคยบังคับผู้ใช้ให้สิทธิ์เหล่านั้น
  • กลไกการเก็บข้อมูลถูกทำพร้อมกับการซิงค์รายชื่อผู้ติดต่อ
ผู้ใช้งานสามารถดูวิธีการปิดการใช้งานฟังก์ชันนี้ที่ https://www.facebook.com/help/838237596230667 หรือ ลบข้อมูลที่ถูกซิงค์ออกไปแล้วได้ที่ https://www.facebook.com/mobile/messenger/contacts

Comments

Popular posts from this blog

นักวิจัยปล่อยโค้ดที่ทำให้เกิดจอฟ้ากับเครื่อง Windows จำนวนมากบน GitHub

ผู้เชี่ยวชาญพบมัลแวร์ใช้ Windows BITS เพื่อติดต่อเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

รู้สาเหตุแล้ว ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เน็ตช้าเพราะสายเคเบิลใต้ทะเลขาด