3 คาดการณ์ด้าน Cryptocurrency ในปี 2019

ในช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา Cryptocurrency เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคม ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าสกุลเงินดิจิทัลจะถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปีสกุลเงินดิจิทัลเริ่มมีมูลค่าลดน้อยลง ส่งผลให้สาธารณชนเริ่มลดความสนใจ และความเคลื่อนไหวของกลุ่ม Community และ Traders ก็เริ่มเบาบางลง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2018 นี้ Kaspersky Lab จึงได้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นกับเทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency ในปี 2019 รวม 3 รายการ ดังนี้

1. ความคาดหวังที่จะใช้ Blockchain ให้ไปไกลเกินกว่าทำ Cryptocurrency จะเรือนลางหายไป

ในที่สุดแล้ว มนุษย์จะกลายเป็นคนผลักดันแนวโน้มนี้มากกว่าความสามารถของตัวเทคโนโลยีเอง เนื่องจากหลายองค์กรและอุตสาหกรรมเริ่มได้ข้อสรุปกันแล้วว่าขอบเขตการนำ Blockchain ไปประยุกต์ใช้นั้นค่อนข้างแคบ และความพยายามที่จะนำ Blockchain ไปใช้เพื่อแก้ปัญหาอื่นๆ มักไม่ค่อยได้รับการยอมรับ การพัฒนาแอปพลิเคชันอื่นนอกเหนือจาก Cryptocurrency ได้ถูกสำรวจและทดลองมานานนับปี แต่กลับประสบความสำเร็จเพียงน้อยนิด คาดการณ์ว่าปี 2019 การนักวิจัยและนักพัฒนาน่าจะเริ่มหมดความพยายามแล้ว

2. การชำระเงินผ่าน Cryptocurrency จะเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ

ปี 2017 ผู้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการเป็นจำนวนมากประกาศจะรับชำระเงินเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านข้อตกลง การโอนเงินที่ช้า ค่าใช้จ่ายในการผสานระบบที่สูง และจำนวนลูกค้าที่ใช้เพียงหยิบมือ ทำให้การชำระเงินผ่าน Cryptocurrency เริ่มซบเซาลงเรื่อยๆ จนในที่สุด การใช้ Cryptocurrency ในการทำธุรกรรมเชิงธุรกิจจะไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปอีกต่อไป

3. อัตราแลกเปลี่ยนจะไม่กลับไปสูงสุดกู่เหมือนปี 2017

ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 มูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนกระทั่งเข้าสู่มกราคมปี 2018 ที่มูลค่าเริ่มตกลงเรื่อยๆ คาดการณ์ว่าคงไม่เห็น Bitcoin มีมูลค่ากลับขึ้นไปสูงสุดกู่อย่างช่วงปลายปี 2017 อีกแล้วเนื่องจากความนิยมของ Cryptocurrency ลดน้อยลง และเชื่อว่ามีเพียงไม่กี่คนที่สนใจ Cryptocurrency อย่างแท้จริง เมื่อจำนวนคนถึงขีดจำกัด ค่าเงินก็จะไม่สูงเกินกว่านั้นอีกแล้ว

Comments

Popular posts from this blog

นักวิจัยปล่อยโค้ดที่ทำให้เกิดจอฟ้ากับเครื่อง Windows จำนวนมากบน GitHub

ผู้เชี่ยวชาญพบมัลแวร์ใช้ Windows BITS เพื่อติดต่อเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

รู้สาเหตุแล้ว ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เน็ตช้าเพราะสายเคเบิลใต้ทะเลขาด